ทั่วโลกต้องสยบแทบเท้า : 10 แข้งยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลโลกลูกหนัง
อันดับ 10 โรนัลโด้
“เอล เฟโนเมโน”มีคุณสมบัติครบทุกอย่างที่กองหน้าต้องการ แต่กลับโชคร้ายเจออาการบาดเจ็บเล่นงานไม่หยุด
“คุณบันทึกเทปไว้หรือเปล่า?” โรนัลโด้ถามนักข่าวด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม หลังจากยิง 5 ประตู ใน 1 เกม ในปี 1993
เขายังไม่ใช่โรนัลโด้บราซิลในตอนนั้น เขาเป็นที่รู้จักในชื่อโรนัลดินโญและยิง 12 ประตู ในฤดูกาลแรกกับครูไซโร 5 ประตูมาจากการยิงใส่บาเฮีย โดยหนึ่งในนั้นคือผลงานระดับมาสเตอร์พีช เมื่อเจ้าตัวขโมยบอลจาก โรดอลโฟ โรดริเกวซ นายประตูคู่แข่งก่อนยิงเข้าไป
เขาซัลโวไป 420 ประตูตลอดอาชีพนักเตะ
โรนัลโด้อายุเพียง 16 ปี ตอนทะลุขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของครูไซโร เขาย้ายมาเล่นในยุโรปกับพีเอสวีทันทีในปีต่อมาและถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดลุยบอลโลก 1994 โดยได้รับการแนะนำมาจากโรมาริโอ
โรมาริโอดูแลโรนัลโด้อย่างดีตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ เขาสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้รุ่นน้องรายนี้ได้ลงสนาม ถึงขนาดเคยบ่นกับสื่อว่าบราซิลควรเล่นแผนที่ใช้กองหน้า 3 คน แทน 2 คน
โรนัลโด้ไม่ได้ลงเล่นแม้แต่เกมเดียวในเวิลด์คัพฉบับอเมริกา หลายคนจึงตั้งคำถามว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ไม่นานคำถามเหล่านั้นก็หมดไป
เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมโลกของฟีฟ่าตอนอายุ 20 ในปี 1996, กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ที่คว้ารางวัลนี้ไปครอง 3 สมัย, ซิวรางวัลบัลลงดอร์ 2 สมัย และกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในฟุตบอลโลกในปี 2006 ด้วยผลงาน 15 ประตู (มิโรสลาฟ โคลเซ ทำลายในปี 2014)
ผลงานเด่นที่บาร์ซา
บาร์เซโลนาทุบสถิติคว้าโรนัลโด้มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 19.5 ล้านปอนด์ ในปี 1996 ดาวยิงบราซิลเลียนปล่อยของออกมาทันทีในฤดูกาลแรกที่คัมป์นู หลังซัดไปทั้งสิ้น 47 ประตู จาก 51 เกม นำยอดทีมจากกาตาลันคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ กับ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ
เจ้าบุญทุ่มเก็บตัวเขาไว้กับทีมได้เพียงฤดูกาลเดียว เนื่องจากนักเตะตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพ อินเตอร์ มิลาน ในปี 1997 และกลายเป็นดาวเด่นในฟุตบอลโลก 1998 เขาคว้ารางลูกบอลทองคำและจบทัวร์นาเมนต์ด้วยผลงาน 4 ประตู แต่ตอนจบไม่ได้เป็นไปตามบทที่วางไว้ เมื่อเขามีปัญหาสภาพความฟิตก่อนเกมรอบชิงชนะเลิศ จนเป็นเหตุให้โชว์ฟอร์มไม่ออกแม้ว่ามีชื่อออกสตาร์ทเป็นตัวจริง สุดท้ายบราซิลพ่ายฝรั่งเศสเจ้าภาพแบบขาดลอย 0-3
อาการบาดเจ็บและชัยชนะ
โชคไม่ดีที่ปัญหาสภาพร่างกายของเขาไม่ได้หยุดลงแค่นั้น เพราะเจ้าตัวเจออาการบาดเจ็บรบกวนตลอดอาชีพ หลายคนคิดว่าอาชีพนักฟุตบอลของเขาต้องจบลงแล้ว หลังได้รับบาดเจ็บหัวเข่าขวารุนแรงในเกมรอบชิงชนะเลิศ”โคปปา อิตาเลีย”กับ ลาซิโอ ในปี 2000
เขาต้องพักรักษาตัวนานถึง 15 เดือน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดซ้ำ แต่เขาสามารถกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อย่างสุดยอด เมื่อนำบราซิลคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ในศึกเวิลด์คัพ 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ พร้อมทั้งจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโว จากผลงาน 8 ประตู
โรนัลโด้เซ็นสัญญาย้ายมาเล่นกับ เรอัล มาดริด ในซัมเมอร์ปีนั้น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมยุคกาลาคติกอสอันเลื่องชื่อ แม้ว่าเขาจะเล่นไม่เหมือนเดิมเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่เจ้าตัวยังสามารถยิงประตูช่วยราชันชุดขาวเป็นกอบเป็นกำ ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2011
ไฮไลท์ในอาชีพ
2 ประตูในเกมรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2002 กับเยอรมัน นั่นคือหนึ่งในการคัมแบ็คกลับมาสู่เกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอ
อันดับ 9 เฟเรนซ์ ปุสกัส
เท้าซ้ายของเขาเป็นได้ทั้งปืนใหญ่และไม้กายสิทธิ์ของพ่อมด นายพลควบม้าแห่งฮังการีผู้ปกครองสนามฟุตบอล
อาชีพค้าแข้งของปุสกัสพิเศษมาก เพราะเขาโชคดีได้เล่นกับหนึ่งในทีมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
เขาคือดาวเด่นของทีมชาติฮังการียุคทอง(Mighty Magyars)ในช่วงเริ่มต้นยุค 1950s พวกเขาคว้าเหรียญทองโอลิมปิคส์ 1952 ก่อนทำผลงานช็อคโลกด้วยการเอาชนะอังกฤษที่เวมบลีย์ 6-3 พร้อมคว้าตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอลโลก 1954
เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นของ เรอัล มาดริด ยุคดรีมทีมด้วย พร้อมช่วยทีมคว้าแชมป์สโมสรยุโรป 3 สมัย และแชมป์ลีกสเปน 5 สมัยติดต่อกัน
เขามีสถิติยิงประตูเฉลี่ยมากกว่า 1 ลูก ต่อ 1 เกม หลังทำไป 87 ประตู จาก 85 นัดในทีมชาติ
ปุสกัสเป็นที่รู้จักในชื่อของ”นายพลควบม้า” เขามีส่วนสูงเพียง 172 เซนติเมตร แต่กลับวิ่งเร็วเหลือเชื่อและยิงประตูหนักมาก เขาสามารถสร้างเกมรุกและจบสกอร์ด้วยตัวเอง แถมยังมีความเป็นผู้นำด้วย
ปุสกัสเริ่มเรียนศาสตร์ลูกหนังกับคุณพ่อ เขาพัฒนาฝีเท้าอย่างรวดเร็วและโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมรุ่น ก่อนได้รับโอกาสประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี
จอมถล่มประตูแห่งฮังการีฃ
เขาติดทีมชาติครั้งแรกตอนอายุ 18 และยิงประตูได้ในเกมแรกทันที เขามีสถิติยิงประตูเฉลี่ยมากกว่า 1 ลูก ต่อ 1 เกม หลังทำไป 87 ประตู จาก 85 นัดในทีมชาติ
4 ประตูในนั้นเกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 1954 ปุสกัสสวมปลอกแขนกัปตันทีมฮังการีและยิงประตูช่วยทีมขึ้นนำเยอรมันตะวันตกในรอบชิงชนะเลิศ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สมบูรณ์เต็มร้อยในเกมนั้นเพราะมีอาการบาดเจ็บติดตัวมาจากรอบแบ่งกลุ่ม ฮังการีจึงเป็นฝ่ายพ่ายไปแบบฉิวเฉียด 2-3
สถานการณ์ทางการเมืองในฮังการีทำให้ชีวิตของปุสกัสยิ่งลำบากขึ้น แต่หลังจากการปฏิวัติในปี 1956 เขาตัดสินใจย้ายออกมาค้าแข้งในต่างแดนแทน
ของจริง
เขาต้องรอเวลาถึง 2 ปี กว่าจะได้ลงรับใช้ เรอัล มาดริด เพราะติดโทษแบนจากยูฟ่า ก่อนได้ย้ายมาร่วมทีมในปี 1958 ด้วยวัย 31 ปี อย่างไรก็ดี ปุสกัสยังสามารถสถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้ หลังทำ 242 ประตู จาก 262 เกม การจับคู่ระหว่างเขากับ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจในยุคนั้น เขาย้ายออกจากทีมในปี 1966
สเปนกลายเป็นประเทศที่สองของเขา ถึงขนาดได้ลงรับใช้ทีมกระทิงดุในฟุตบอลโลก 1962 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ผลงานของเขาได้รับการยกย่องทั้งในบูดาเปสต์และมาดริด สไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สถิติการยิงประตู และการยืนระยะอย่างยาวนาน ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก
ไฮไลท์ในอาชีพ
ปุสกัสยิง 4 ประตู ในครึ่งหลังของเกมรอบชิงชนะเลิศศึก”ยูโรเปี้ยน คัพ” ปี 1960 พร้อมนำ เรอัล มาดริด กระทุ้ง ไอน์ทรัคต์ แฟรงค์เฟิร์ต ขาดลอย 7-3 เขาพลาดรอบชิงในปีก่อนหน้านี้เพราะได้รับบาดเจ็บ ส่วนรอบชิงในปี 1966 นั้น เขาไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แต่นั่นคือถ้วยแชมป์ใบสุดท้ายในอาชีพของเขา
อันดับ 8 ซีเนดีน ซีดาน
ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?
ภาพของ ซีเนดีน ซีดาน ถูกฉายขึ้นบนประตูชัยฝรั่งเศสในวันที่ 12 กรกฎาคม ปี 1998 ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีจากฝูงชนและเสียงบีบแตรรถดังสนั่น มีนักกีฬาไม่กี่คนที่ทำให้เกิดช่วงเวลาแบบนี้ได้ ทีมชาติฝรั่งเศสที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติชุดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของการรวมชาติที่เป็นประเด็นถกเถียงกันทั่วประเทศ โดย ซีดานที่มีเชื้อสายแอลจีเรียคือผู้เล่นทรงคุณค่าในทัวร์นาเมนต์นั้น สองประตูของเขาในรอบชิงชนะเลิศนั้นสำคัญมาก
ซีดานคือหนึ่งในผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรุ่นของเขา แต่เมื่อมีประเด็นถกเถียงเรื่องการอพยพและความกลมกลืนทางวัฒนธรรม เขามักถูกอ้างถึงเสมอ
อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ความยอดเยี่ยมในสนามของเขาลดลงแม้แต่น้อย เขาเหมือนมีพลังแม่เหล็กเมื่ออยู่ในฟลอหญ้า เขาหลบฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องใช้ความเร็วและมีสัมผัสบอลแรกสุดนิ่มนวลราวจับวาง เขาสุขุมเยือกเย็นและไม่สะทกสะท้านต่อความกดดัน นั่นทำให้เขาดูเหนือชั้นกว่าทุกคนในสนาม
แนวคิดทั่วไปในฟุตบอลเชื่อว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพลดลง แต่ในเคสของซีดานกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาคือผู้เล่นประเภทนี้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเปี่ยมไปด้วยเทคนิครอบตัว, ความนุ่มนวล, ความกระหายในการแข่งขัน และความมหัศจรรย์ในจังหวะชี้เป็นชี้ตาย สำหรับตัวทำเกมที่ไม่ได้จบสกอร์เป็นอาชีพแบบกองหน้า ซีดานถือเป็นผู้เล่นที่ตัดสินเกมได้ ประตูในรอบชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลโลกและยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก คือหลักฐานยืนยันชั้นดี นักกีฬาส่วนใหญ่เลือกปรับเกมของตัวเองให้เข้าใกล้กับสิ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จ แต่ซีดานกลับแตกต่างออกไป ความสำเร็จเป็นผลมาจากความสวยงามในการเล่นของเขา
ไฮไลท์ในอาชีพ
ประตูตัดสินเกมในฟุตบอลโลกและศึกแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศคงอยู่ในใจของใครหลายคน แต่ความจริงแล้วผลงานที่ดีที่สุดของเขาเกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 2006 รอบ 8 ทีม กับ ทีมชาติบราซิล เขากลับมารับใช้ชาติหลังจากประกาศอำลาทีมไป 2 ปี นั่นคือทัวร์นาสุดท้ายของเขาในฐานะนักฟุตบอลก่อนแขวนสตั๊ด ดาวเตะวัย 34 งัดฟอร์มการเล่นขั้นเทพออกมาข่มบรรดาแข้งแซมบ้าชื่อก้องจนเสียเชิง เขาเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งคนแล้วคนเล่า บัญชาตรงกลางสนามอย่างลื่นไหล และแทบไม่เสียการครอบครองบอลจนนำทีมคว้าชัย สุดท้ายเขานำทีมไปถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง
อันดับ 7 ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวร์
ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?
ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวร์ ลูกชายของพนักงานไปรษณีย์เหมือนจะเกิดมาเพื่อ 1860 มิวนิค สโมสรที่ติดตามมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เขาเกิดในกีสลิง ย่านชนชั้นแรงงานที่คนส่วนใหญ่เชียร์ 1860 เขาจึงตัดสินใจเข้าทีมเยาวชนของ 1860 แต่แล้วเขากลับเจอเหตุการณ์ฝันร้ายในรายการรุ่นอายุต่ำกว่า 11 ปี ในปี 1958 หลังถูกผู้เล่น 1860 ฝั่งเดียวกันชกเข้าที่หน้า นับตั้งแต่นั้นเบ็คเคนบาวร์ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่มีทางเล่นกับทีมที่มีผู้เล่นประพฤติตัวแบบนี้อีก ก่อนตัดสินใจเข้าอคาเดมีของ บาเยิร์น มิวนิค สโมสรขวัญใจในย่านคนรวยแทน ตอนนั้นบาเยิร์นยังตามหลังทีมอย่าง ออฟเฟนบัค และ แฟรงค์เฟิร์ต แต่พวกเขามีระบบเยาวชนที่แข็งแกร่งเต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่งมากพรสวรรค์ ยกตัวอย่างเช่น เซปป์ ไมเออร์, จอร์จ ชวาร์เซนเบ็ค และ แกรด มุลเลอร์ แต่เบ็คเคนบาวร์ก็สามารถปรับตัวเข้าสู่ทีมชุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว
เบ็คเคนบาวร์เหมือนกับแข้งระดับตำนานทั้งหลาย เขาสามารถลงเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง เดิมทีเขาเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ถูกขยับไปยืนเป็นปีกซ้ายในฤดูกาลแรกกับ บาเยิร์น มิวนิค ในลีกดิวิชันสอง เสือใต้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จและผลผลิตในทีมเยาวชนก็ผลิดอกออกผล จนพวกเขากลายเป็นมหาอำนาจของวงการลูกหนังเยอรมันตะวันตก เบ็คเคนบาวร์ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมบาเยิร์นครั้งแรกในฤดูกาล 1968-69 พร้อมนำทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าสมัยแรกทันที ลีลาการเล่นที่สง่างามและความสุขุมเยือกเย็นทำให้เขากลายเป็นดาวเด่นที่ไม่มีใครเหมือนในยุคนั้น จากนั้นเขาลองปรับตำแหน่งมาเล่นเป็นสวีปเปอร์และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกฟุตบอล ฉายา”จักรพรรดิลูกหนัง”ของเขามีที่มาจาก 2 เรื่อง อย่างแรกคือเขาโพสต์ท่าคู่กับ รานซ์ โจเซป จักพรรดิของออสเตรียในปี 1968 จนสื่อในเยอรมันตั้งสมญานามให้เขาว่าไกเซอร์นับแต่นั้น ส่วนอีกเรื่องเกิดขึ้นในเกมรอบชิงเยอรมัน คัพ ปี 1969 เขาไปทำฟาวล์ใส่ เรนฮาร์ด ลิบูดา ผู้เล่นชาลเก้ที่มีฉายาว่าราชาของเวสต์ฟาเลีย สื่อจึงเชื่อว่าตอนนี้เบ็คเคนบาวร์เก่งกว่าพระราชาแล้ว
เบ็คเคนบาวร์นำบาเยิร์นคว้าแชมป์บุนเดสลีก้า 3 สมัยซ้อน ระหว่างฤดูกาล 1972-74 จากนั้นผงาดซิวแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัยซ้อน ระหว่างฤดูกาล 1974-76 ส่วนผลงานในทีมชาตินั้นเขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมนำเยอรมันคว้าแชมป์ยูโร 1972 และฟุตบอลปี 1974 อย่างไรก็ดี เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่คนทั่วไปรักใคร่เพราะมักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อทีมตัวเอง เขาเคยถูกแบนจากทีมเยาวชนของเยอรมันตะวันตกตอนอายุ 18 หลังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับแฟนสาวที่กำลังตั้งครรภ์ เขาหลุดโผทีมชาติชุดใหญ่นับตั้งแต่ย้ายไปเล่นกับ นิวยอร์ค คอสมอส ในปี 1977 และประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอด 4 ปี ก่อนย้ายกลับมาเล่นในบุนเดสลีก้าในช่วงต้นทศวรรษ 1980s พร้อมช่วยฮัมบูร์กคว้าแชมป์ลีก เบ็คเคนบาวร์เกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ
ไฮไลท์ในอาชีพ
เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมบาเยิร์นนำสโมสรคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยที่ 3 ติดต่อกัน จากการเอาชนะ แซงต์ เอเตียน ในรอบชิงที่สนามแฮมป์เด้น พาร์ค “ผมรุ้สึกภูมิใจมากในเกมนั้น” เบ็คเคนบาวร์รำลึกความหลัง
อันดับ 6 อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน
ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?
ตลอดอาชีพอันรุ่งโรจน์กว่า 20 ปี ดิ สเตฟาโน ที่เติบโตขึ้นมาจากการเล่นฟุตบอลข้างถนนในบูเอโนส ไอเรส คือดาวเด่นของ 3 สโมสรที่ประสบความสำเร็จใน 3 ประเทศ เขาเริ่มต้นค้าแข้งกับ ริเวอร์ เพลต ก่อนย้ายไปเล่นในโคลอมเบียกับ มิลอนารินอส จากนั้นเขาย้ายไปสร้างชื่อกับ เรอัล มาดริด ในช่วงปลายทศวรรษ 1950s ถึงต้นทศวรรษ 1960s เขาคือกองหน้าตัวเป้าสุดครบเครื่อง เขาแข็งแรงมากเห็นได้จากผลงานยิงประตูเป็นกอบเป็นกำในช่วงท้ายเกม และเขามีอิทธิพลต่อเกมของทีมทั่วทั้งสนาม
“ผู้ชายคนนี้คือใคร? เมื่อใดก็ตามที่เขาอยู่ในสนามและได้ครองบอล คุณจะเห็นอิทธิพลของเขาที่มีต่อทุกอย่างในเกม“ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เขียนหลังจากเห็น ดิ สเตฟาโน ลงเล่นกับ เรอัล มาดริด ในปี 1957 เขาอาจไม่ได้มีพรสวรรค์ระดับฟ้าประทานอย่าง จอร์จ เบสต์ หรือ ดิเอโก้ มาราโดนา แต่ชาร์ลตันกับเบ็คเคนบาวร์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดิ สเตฟาโน อาจเป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดในโลก
หลังจากนำ ริเวอร์ เพลต์ คว้าแชมป์ในปี 1947 ดิ สเตฟาโน ก็ย้ายไปเล่นกับ มิลอนารินอส ในลีกโคลอมเบียที่ยังไม่เป็นเป็นสมาชิกของฟีฟ่า ทำให้พวกเขาสามารถจ่ายค่าเหนื่อยให้กับผู้เล่นระดับสตาร์ของทีมได้ไม่อั้น โดย ดิ สเตฟาโน ตอบแทนด้วยการนำทีมคว้าแชมป์บอลลีก 3 สมัย จาก 4 ปี ก่อนตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในสเปนหลังจากโคลอมเบียเข้าเป็นสมาชิกฟีฟ่าในปี 1953
เรอัล มาดริด ต่อสู้กับ บาร์เซโลนา ทีมคู่ปรับอย่างดุเดือด ในการช่วงชิ่งลายเซ็นของ ดิ สเตฟาโน สหพันธ์ลูกหนังสเปนจึงแนะนำให้สองสโมสรแบ่งกันใช้นักเตะ ก่อนจะกลับคำให้ราชันชุดขาวได้สิทธิ์ไปครองทีมเดียวในเวลาต่อมา ทำเอาเจ้าหน้าที่ของบาร์ซาต้องออกมาโวยว่า เอฟเอสเปนตัดสินแบบนั้นเพราะถูกรัฐบาลของนายพลฟรังโก้กดดัน แต่สุดท้ายเจ้าบุญทุ่มก็ยอมขายสิทธิ์ในตัวนักเตะอยู่ดี ที่แสบกว่านั้นคือ 4 วันต่อมา ดิ สเตฟาโน ยิงแฮททริคนำมาดริดอัดบาร์เซโลนา ก่อนพาทีมคว้าแชมป์ลีกแดนกระทิงดุเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี โดยเขายิงไปทั้งสิ้น 27 ประตูในฤดูกาลนั้น
ตลอดระยะเวลา 11 ฤดูกาลในถิ่น”ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว” ดิ สเตฟาโน ยิงไปถึง 281 ประตู จาก 282 เกม พร้อมช่วยทีมคว้าแชมป์ลีก 8 สมัย และยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัย(ติดต่อกัน) โดยเขายิงประตูในรอบชิงได้ทุกครั้ง ขนาด เฟเรนซ์ ปุสกัส ตำนานแข้งเพื่อนร่วมทีมยังเอ่ยปากยกย่องความเก่งกาจของ ดิ เสฟาโน
ในเกมลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล ปุสกัสเลือกจ่ายให้ ดิ สเตฟาโน ยิงประตู ทั้งที่ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ดีเช่นกัน ส่งผลให้ทั้งคู่จบฤดูกาลด้วยการทำประตูเท่ากันในปีนั้น อย่างไรก็ดี ปุสกัสกล่าวถึง ดิ สเตฟาโน ว่า “ดิ สเตฟาโน คือผู้เล่นที่ดีที่สุดที่โลกเคยมีมา และอาจจะเป็นแบบนี้ตลอดไป”
ไฮไลท์ในอาชีพ
ดิ สเตฟาโน ทำแฮททริคนำ เรอัล มาดริด ไล่ถลุง ไอน์ทรัคต์ แฟรงค์เฟิร์ต 7-3 ในเกมรอบชิงชนะเลิศศึกยูโรเปี้ยน คัพ ที่สนามแฮมป์เดน พาร์ค ในปี 1960
อันดับ 5 คริสเตียโน โรนัลโด้
พรสวรรค์สูงส่ง, เพียบพร้อมพรแสวง, เกิดมาเพื่อเกมใหญ่ และเขายังไม่จบอาชีพ
คริสเตียโน โรนัลโด้ ดาวยิงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ยุโรปเคยมีมา จะถูกจดจำในฐานะหนึ่งในนักเตะที่มีความคงเส้นคงวามากที่สุดตลอดกาล รางวัลบัลลงดอร์ 4 สมัยบ่งบอกถึงความสามารถของเป็นอย่างดี และบางทีสมัยที่ 5 กำลังจะตามมาในไม่ช้า
สถิติของเขาควรถูกบันทึกลงหนังสือ เขาคือดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของ เรอัล มาดริด และ โปรตุเกส, ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, ฟุตบอลยูโร(รวมรอบคัดเลือก) และ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป หลังทำลายสถิติของ จิมมี กรีฟส์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เขายิงไปแล้ว 406 ประตู จาก 394 เกมกับมาดริด มันเป็นสถิติที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้
บางคนกล่าวหาว่าโรนัลโด้ให้ความสำคัญกับรางวัลส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม แต่ประตูของเขาช่วยทีมประสบความสำเร็จ เขาฉายแววเก่งกับหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก หลังช่วยแมนฯยูฯคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน ระหว่างปี 2007-09 เขานำมาดริดประสบความสำเร็จสูงสุดนับตั้งแต่ยุค 1950s ด้วยการคว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีก 3 สมัย และเขาเป็นกัปตันทีมชาติโปรตุเกสชุดแชมป์ยูโร 2016 แชมป์แรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
นักกีฬาที่สมบูรณ์แบบ
เราทุกคนทราบถึงคุณสมบัติเด่นของเขาดี ทั้ง สัญชาตญาณการจบสกอร์, การเคลื่อนที่เฉียบคม และความมุ่งมั่นที่ยากจะหาใครเปรียบ เขาวิ่งเร็วมาก, กล้ามเนื้อแข็งแกร่งราวกับนักสู้ในกรง และมีพลังกระโดดของนักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ อาวุธประจำของตัว ประกอบด้วย การกระชากโซโล่เดี่ยว, ลูกฟรีคิกที่ยากต่อการคาดเดา และจังหวะเทคตัวโหม่งกลางอากาศ ในฐานะกองหน้าตัวจบสกอร์ เขาใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบในจินตนาการมากที่สุด
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กุสัน เคยกล่าวว่า เขาไม่เคยคุมนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงส่งแบบนี้มาก่อน ความสามารถเชิงลูกหนังไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้โรนัลโด้น่าประทับใจ แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีกคือจิตใจอันแข็งแกร่ง มีนักกีฬาไม่กี่คนที่จะมีความเป็นมืออาชีพ, ระเบียบวินัย และความทุ่มเท มากกว่าโรนัลโด้
ความปรารถนาในการเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ทำให้เขายกระดับตัวเองจากเด็กบนเกาะมาเดย์รากลายมาเป็นแข้งในอคาเดมีของ สปอร์ตติง ลิสบอน ก่อนถูกแมนฯยูฯเซ็นสัญญาคว้าไปร่วมทีมในปี 2003 โรนัลโด้ในวัยหนุ่มจ้างเชฟเข้ามาดูแลอาหาร, สร้างสระว่ายน้ำส่วนตัวเอาไว้ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และชอบอยู่แต่ในยิมของสโมสร ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมกำลังเปิดฝักบัวอาบน้ำ เขากลับผูกเหล็กไว้ที่ข้อเท้าและซ้อมสับขากับลูกบอล
ชายหนุ่มที่เปลี่ยนไปแล้ว
โรนัลโด้ย้ายจากยูไนเต็ดไปร่วมทีมมาดริด ด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติโลกในตอนนั้น 80 ล้านปอนด์ เขาเปลี่ยนจากปีกลีลาพริ้วเป็นตัวจบสกอร์แบบเต็มตัว พร้อมจารึกสถิติต่างๆขึ้นมากมายและนำทีมกวาดแชมป์รายการแล้วรายการเล่า
ไลฟ์สไตล์ที่เอาใจใส่กับการดูแลตัวเอง ทำให้เขายิงประตูสำคัญช่วยทีมได้เสมอทั้งที่อายุปาเข้าไป 32 ปีแล้ว เขานำราชันชุดขาวคว้าแชมป์ลาลีก้าและแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา ท้ายที่สุดแล้วเวลาจะหยุดอาชีพของนักเตะ แต่โรนัลโด้เตรียมตัวต่อสู้กับมันอย่างน่าชื่นชม
บางคนอาจบอกว่าเขาโชคไม่ดีที่เกิดในยุคเดียวกับ ลิโอเนล เมสซี แต่ผู้เล่นมากมายล้วนได้รับแรงบัลดาลใจจากความสำเร็จของเขา มีนักฟุตบอลไม่กี่คนที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จแบบโรนัลโด้ สถิติของเขาจะคงอยู่ในฐานะบุคคลตัวอย่างที่มีทั้งความมุ่งมั่น, ความสม่ำเสมอ และพลังใจ
ไฮไลท์ในอาชีพ
ในปี 2008 ลูกโหม่งของโรนัลโด้ช่วยแมนฯยูฯคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีก และทำให้เขาได้รับการโหวตเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก เขาไปถึงจุดนั้นในวัยเพียง 23 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่ตามมา
อันดับ 4 โยฮันน์ ครัฟฟ์
ทรงอิทธิพลทั้งความคิดและฝีเท้าในสนาม มรดกจากความอัจฉริยะของครัฟฟ์ยังคงสืบทอดสู่เกมฟุตบอลถึงทุกวันนี้
ความสูญเสียของกีฬาเบสบอลทำให้โลกฟุตบอลได้ดาวดวงใหม่ เพราะเมื่อตอนที่ เฮนดริก โยฮันเนส ครัฟฟ์ เข้าทีมเยาวชนของ อาหยักซ์ ครั้งแรกในวัย 10 ขวบ เขายังรักที่จะหวดไม้ใส่มากกว่าเลี้ยงลูกบอลอยู่เลย และต้องใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าที่โค้ชจะชักชวนให้เลือกเส้นทางนี้อย่างเต็มตัวได้สำเร็จ
เจ้าตัวเติบโตขึ้นในย่านที่ไม่ไกลจากสนามของอาหยักซ์ ฝั่งตะวันออกของกรุงอัมสเตอร์ดัมมากนัก ครัฟฟ์ใช้เวลาหลายชั่วโมงที่บ้านของโค้ชชาวอังกฤษอย่าง คีธ สเปอร์เจี้ยน กับ วิค บัคกิ้งแฮม เพื่อเรียนภาษาและฟุตบอล ซึ่งคนใกล้ชิดก็รู้ซึ้งทันทีเลยว่านี่แหละคือคนที่จะเข้ามาทำให้ฟุตบอลเปลี่ยนไป เพราะเจ้าตัวเริ่มชี้นิ้วสั่งการใครต่อใครตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่งวัย 17 ที่ขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็พูดถูกเสียด้วย
แถมเจ้าตัวยังเคยหล่นวาทะในตำนานว่า “ก่อนที่ผมจะทำพลาด ผมก็ยังไม่เคยพลาดแบบนั้นมาก่อนนะ”
ผู้คิดค้น โททัล ฟุตบอล
สองเดือนหลังประเดิมสนามในทีมอาหยักซ์ชุดใหญ่ โชคชะตาก็ทำให้ครัฟฟ์ได้พบกับอดีตครูพละนาม ไรนุส มิเชลส์ ก่อนทั้งคู่จะได้ร่วมกันคิดค้น โททัล ฟุตบอล ปรัชญาฟุตบอลที่ให้ปีกและฟูลแบ็กดันขึ้นสูงคุมเกมกราบข้าง เปิดโอกาสให้กองหลังสามารถขึ้นมาช่วยเกมบุก (ในเงื่อนไขที่กองกลางต้องลงต่ำไปช่วยซ้อน) และศูนย์หน้าตัวเป้า (ซึ่งปกติก็คือครัฟฟ์) สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายใต้การบัญชาของมิเชลส์
และมันก็ได้ผล ครัฟฟ์นำทีมคว้าแชมป์ 20 รายการใหญ่ รวมถึงแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัยติดในปี 1971-1973 ก่อนที่จะโดนบีบให้ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ซึ่ง เอล ซัลวาดอร์ (ผู้กอบกู้) ก็ไปปฏิวัติลูกหนังให้ทีมดังแคว้นคาตาลันด้วยเช่นกัน พร้อมเสกแชมป์ลาลีกาครั้งแรกในรอบ 14 ปีให้กับทีม
ไม่มีใครตามความเร็ว, วิสัยทัศน์ หรือความกระหายประตูของเขาได้เลย
ครัฟฟ์ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ดีที่สุดซึ่งไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 1974 - ฮอลแลนด์ ของเขาออกนำ เยอรมันตะวันตก ก่อน 1-0 โดยที่ทีมเจ้าภาพไม่มีโอกาสสัมผัสบอล แต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ 1-2 แบบสุดเหลือเชื่อ - ครัฟฟ์อาจไปไม่ถึงจุดสูงสุดกับทีมชาติ แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของเขา
เจ้าตัวประกาศเลิกเล่นฟุตบอลในปี 1978 ด้วยวัยเพียง 31 ปีพร้อมปฎิเศธการติดทีมลุยศึกฟุตบอลโลกที่อาร์เจนติน่า (ซึ่งทีมอัศวินสีส้มก็ไม่เข้าวินอีกครั้ง) แต่เปลี่ยนใจกลับมาค้าแข้งต่อในปีถัดมา หลังเจ๊งยับจากการทำฟาร์มหมูที่แคว้นคาตาลันบ้านหลังที่สอง เขาเล่นให้ ลอส แองเจลิส แอซเท็กซ์ และ วอชิงตัน ดิโพลแมตส์ ในสหรัฐอเมริกา กลับบ้านเกิดช่วยให้ อาหยักซ์ คว้าแชมป์ แถมยังข้ามห้วยไปเล่นกับ เฟเยนูร์ด คู่ปรับตลอดกาลถึง 1 ฤดูกาลเต็มอีกด้วย
“เหมือนว่าครัฟฟ์สามารถควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจ เขาสร้างสิ่งต่างๆ มากมายในสนามได้เสมอ” รูดี้ ฟาน ดานซิค เพื่อนร่วมงานอย่างยาวนานของยอดนักเต้นบัลเล่ต์ รูดอล์ฟ นูเรเยฟ และเป็นเพื่อนคนสนิทของครัฟฟ์เผย “มีเรื่องราวดราม่ามากมายวนเวียนอยู่รอบตัวเขา เหมือนละครของกรีกที่มีทั้งเรื่องชีวิตและความตาย เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้เสมอแม้เขาลงเล่นในเกมลีกดัทช์นัดธรรมดาๆ ก็ตาม”
มรดกของครัฟฟ์ยังคงสืบทอดแม้วันที่เขาแขวนสตั๊ดไปแล้ว เขากลับมาคุมอาหยักซ์และบาร์เซโลน่าในฐานะผู้จัดการทีม พร้อมปฏิวัติวงการลูกหนังสมัยใหม่ด้วยการให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าส่วนสูง และเปิดโอกาสให้นักเตะได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระเหมือนศิลปิน มากกว่าให้ความสำคัญกับแท็คติกเหมือนช่างฝีมือ
“นั่นคือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำกัน” ครัฟฟ์เผย “แต่พวกเขาเหล่านั้นทำผิดกันหมด”
เมื่อครั้งที่เขาคุมทีมในรังคัมป์นูเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1988 สโมสรแห่งนี้ยังคงยึดถือแนวคิด prueba de la muñeca หรือ ‘โรงงานตุ๊กตา’ ซึ่งจะเก็บนักเตะที่มีส่วนสูงเกิน 180 ซม. (5 ฟุต 9 นิ้ว) อยู่กับทีมต่อเท่านั้น แต่ให้หลังจากที่คุมทีมไปเพียงฤดูกาลเดียว ครัฟฟ์ก็สั่งให้ละทิ้งกฎนี้
ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า และ ลิโอเนล เมสซี่ คือผู้ได้รับผลประโยชน์เต๋็มๆ เพราะต่างก็สูงเพียง 170 ซม. (5 ฟุต 7 นิ้ว) เท่านั้น
ครั้งหนึ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยเล่าว่า “โยฮัน ครัฟฟ์ คือผู้วาดจิตรกรรมบนฝาผนังโบสถ์ ส่วนคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยหรือรับงานต่อ ทำเพียงซ่อมแซมหรือต่อยอดมันเท่านั้น”
นี่แหละคือสิ่งที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกกับวงการฟุตบอล
ไฮไลท์ในอาชีพ
การหมุนตัวในฟุตบอลโลก 1974 นัดที่ฮอลแลนด์พบสวีเดน ยังคงเป็นหนึ่งในสุดยอดลูกเล่นของโลกลูกหนัง และเป็นความทรงจำที่แม่นยำที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของ แยน โอลส์สัน “ผมรักทุกจังหวะในเหตุการณ์นั้นและรู้ดีด้วยว่ามันจะเป็นที่โด่งดังแน่นอน” นักเตะสวีดิชเผย “ผมคิดว่าผมแย่งบอลได้แล้วด้วยซ้ำ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไม เพราะแต่ละวันที่ผมคิดถึงฟุตบอลจะมีหน้าเขาตามมาหลอกหลอนเสมอ
อันดับ 3 เปเล่
นักเตะที่โดดเด่นที่สุดของวงการฟุตบอล จากอเมริกาใต้สู่ยุโรป จากสหรัฐอเมริกาสู่แอฟริกา ไม่ว่าที่ไหน เขาก็คือราชา
“เ*ยยย บราซิลชวดแชมป์โลกเรอะ?” เอ็ดสัน อรานเดส โด นาสซิเมนโต้ สบถด้วยความช็อกในจังหวะเดียวกับที่พ่อของเขาถึงกับหลั่งน่้ำตา เมื่อบราซิลพลาดท่าแพ้อุรุกวัยคาบ้านในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1950
อดีตเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยทำงานขัดรองเท้าไม่เคยลืมเหตุการณ์วันนั้นเลย
เอ็ดสันภูมิใจกับชื่อจริงซึ่งมีที่มาจากยอดนักประดิษฐ์อย่าง โธมัส เอดิสัน เป็นอย่างมาก แต่เพื่อนร่วมชั้นกลับกลั่นแกล้งด้วยการเรียกเขาว่า เปเล่ อยู่เสมอ เจ้าตัวเกลียดชื่อนี้เพราะมันฟังเหมือนเด็กไม่รู้จักโต และถึงกับเคยต่อยคนที่เรียกด้วยชื่อดังกล่าวจนถูกสั่งห้ามมาโรงเรียนถึง 2 วัน แต่เมื่อเขากลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง เขากลายเป็น เปเล่ ของทุกคน ไม่ใช่ เอ็ดสัน อีกต่อไป อย่างไรก็ตามเขาอาจต้องขอบคุณเหล่าเพื่อนจอมแกล้งพวกนี้ เพราะชาวบราซิลมักพูดอยู่เสมอว่า เอ็ดสัน กับ เปเล่ นั้นมันคนละคนกัน
พวกเขาจะรักเปเล่อยู่เสมอไม่เสื่อมคลาย แต่กับเอ็ดสันนั้นเหมือนเป็นคนละเรื่องเลย
ผู้เล่นสมบูรณ์แบบ
บางทีวิธีเดียวที่จะปกป้องทุกอย่างได้ คือการเป็นผู้เล่นสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับที่เปเล่เคยทำ แต่สำหรับคนที่รับเขาไม่ได้ในหลายๆ เรื่องตั้งแต่ที่เลิกเล่น (ทั้งการไม่ยอมรับลูกสาว และกล้าๆ สนับสนุนคนอย่าง เซ็ปป์ แบล็ตเตอร์) ก็ดูจะเต็มใจเรียกเขาว่า เอ็ดสัน มากกว่า
“เปเล่ในแบบที่ไม่ปริปากพูดนั้นเหมือนกับนักปราชญ์ ในสนามเขาเหมือนพ่อของเรา แต่นอกสนามแ*งน่าจะเอารองเท้ายัดปากตัวเองซะ” โรมาริโอเคยกล่าวไว้ (ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่อาจเอาสถิติยิง 1,281 ประตูของเปเล่มาเทียบได้ แม้โรมาริโอจะยิงถึงเลข 4 หลักได้เช่นกันก็ตาม)
ปี 1958 เปเล่ด้วยวัยเพียง 17 กลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ได้ลงเล่นในเกมฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศ เขายิง 6 ประตูในรายการดังกล่าวที่สวีเดน รวมถึงแฮททริกในรอบรองชนะเลิศและอีกสองในนัดชิงฯ นี่คือแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกจาก 3 ครั้งที่เขานำมันกลับบ้านได้ และเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจคุณพ่อที่เคยฝันสลายได้เป็นอย่างดี
ปี 1962 เขาไม่มีส่วนร่วมกับทีมชุดคว้าแชมป์โลกมากนักจากอาการบาดเจ็บ ขณะที่ปัญหามากมายในปี 1966 ก็ทำให้เขาสาบานว่าจะไม่กลับมาเล่นในฟุตบอลโลกอีก แต่สุดท้ายก็ยอมเสียสัตย์ กลับมาร่วมทัพแซมบ้าชุดที่มีแนวรุกดีสุดในประวัติศาสตร์ร่วมกับ ทอสเทา, แจร์ซินโญ่, ริเวลิโน่, คลอโดอัลโด้ และแกร์สัน คว้าแชมป์โลกสมัย 3 ของเขาเมื่อปี 1970 ซึ่งครั้งนั้นแจร์ซินโญ่เป็นดาวซัลโว ขณะที่เปเล่กดไป 4 ประตู
ดาวดังระดับโลก
เปเล่เดินทางไปทั่วโลกในการทัวร์กับ ซานโต๊ส ต้นสังกัดยุค 1960 และ 70 การทัวร์ครั้งนั้นโด่งดังเสียจนที่ไนจีเรียซึ่งขณะนั้นยังมีสงครามกลางเมืองถึงกับพักรบ 2 วัน เพื่อให้ทุกคนไปชมเขาลงเล่นในสนาม ผลสืบเนื่องถึงวงการฟุตบอลไนจีเรียนั้นรุนแรงมากเมื่อเขาฟันธงว่าชาติจากแอฟริกาสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในอนาคต ทำเอาแฟนบอลในละแวกนั้นถึงกับฝันเฟื่องเลยทีเดียว
“ในบางประเทศผู้คนต่างห้อมล้อมเพื่อหวังสัมผัสตัวเขา ในบางที่ผู้คนต้องการจูบเขา ในบางแห่งผู้คนถึงกับก้มจูบพื้นที่เขาย่างกรายไป” คลอโดอัลโด้ อดีตเพื่อนร่วมทีมของเปเล่เคยกล่าวไว้
ตำนานดาวยิงบราซิลลงเล่นเกมสุดท้ายให้ซานโต๊สเมื่อปี 1974 ก่อนตัดสินใจเลื่อนการแขวนสตั๊ดเพื่อไปเล่นให้กับ นิวยอร์ก คอสมอส ใน นอร์ธอเมริกัน ซอกเกอร์ลีก (เอ็นเอเอสแอล) เพื่อหวังปลดหนี้ หลังจากนำคอสมอสคว้าแชมป์เอ็นเอเอสแอลปี 1977 เขาก็ลงเล่นเกมสุดท้ายของอาชีพท่ามกลางสายฝนในมหานครนิวยอร์ก หลังสร้างวันที่สดใสให้ผู้คนทั่วโลกแล้วมากมาย
ไฮไลท์ในอาชีพ
19 พฤศจิกายน 1969 เปเล่ทำประตูที่ 1,000 ของอาชีพการค้าแข้งจากลูกจุดโทษ ในเกมพบ วาสโก ดา กาม่า ที่สนามมาราคาน่า
อันดับ 2 ลิโอเนล เมสซี่
ด้วยวัย 30 เขาทำลายสถิติตลอดกาลพร้อมชูถ้วยแชมป์แล้วมากมาย การได้ดูเมสซี่ลงเล่นก็เหมือนคุณได้เห็นอัจฉริยะที่โลกนี้อาจมีแค่คนเดียว
วิธีหนึ่งที่สามารถสาธยายถึงความยิ่งใหญ่ของ ลิโอเนล เมสซี่ ได้มากที่สุด คือการไล่เรียงสถิติและรางวัลที่เขาได้รับ : บัลลงดอร์ 5 สมัย, แชมป์ 30 รายการกับสโมสร, 91 ประตูใน 1 ปีปฏิทิน รวมถึงตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนติน่า, บาร์เซโลน่า และลาลีกา
แต่ท้ายที่สุดผู้คนกลับบอกว่าวิธีการนี้ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ
แม้หน้าประวัติศาสตร์จะสดุดีเมสซี่ แต่ข้อจำกัดต่างๆ ก็อาจทำให้เขามัวหมองไปบ้าง ในอีก 20 ปีจากนี้ แฟนฟุตบอลรุ่นเยาว์จะได้อ่านตัวเลขสถิติต่างๆ ที่เมสซี่สร้างขึ้นและทำให้โลกตกตะลึง แต่ลองให้พวกเขาได้ดูวิดีโอการเล่นก่อนเถิด แล้วจะรู้ซึ่งว่าได้พลาดอะไรไปบ้าง
ความงามอันเป็นที่สุด
จำนวนประตูที่เขาทำได้ดูจะไม่สำคัญเมื่อเทียบกับความสวยงามของแต่ละลูกจนตัดเป็นคลิปไม่หวาดไม่ไหว เพราะมีหลากหลายทั้งการเลี้ยงเดี่ยว, ฟรีคิก, ลูกชิพข้ามหัวผู้รักษาประตู, ลูกแปเข้าไปแบบง่ายๆ เหมือนพัตต์กอล์ฟ หรือแม้กระทั่งลูกยิงอันหนักหน่วง
เมสซี่เองยังสร้างสถิติแอสซิสต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของลาลีกา แต่ก็ยังน่าประทับใจน้อยกว่าวิธีการที่เขาทำได้ ทั้งการผ่านบอลแบบไม่ต้องมอง, ลูกจ่ายคมกริบเข้าจุดตาย, เปิดบอลอ้อมหลบกองหลังแบบสั่งได้ อันที่จริง มันเยอะเสียจนเราไม่สามารถจัดอันดับได้ทั้งหมด
เราคงทราบหลายๆ เรื่องราวของเขากันอยู่แล้ว ทั้งเรื่องค่ายารักษาโรคการเจริญเติบโตผิดปกติอันสูงลิบ ซึ่งทำให้เขาต้องจากเมืองโรซาริโอบ้านเกิดเมืองนอนสู่บาร์เซโลน่า ก่อนที่การลงสนามนัดแรกของเขาเมื่อปี 2004 จะเป็นบทเริ่มต้นสู่ความยิ่งใหญ่ เมสซี่ได้รับโหวตให้เป็น 1 ใน 3 นักเตะที่ดีที่สุดในโลกถึง 10 ปี และเป็น 2 อันดับแรกถึง 9 ปี เป็นบทพิสูจน์ว่าเขายังรักษาผลงานระดับสุดยอดได้ตลอด จนแฟนๆ รุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออกว่า โลกฟุตบอลที่ไม่มีเมสซี่สร้างปรากฏการณ์ในทุกๆ สัปดาห์นั้นเป็นอย่างไร
เมสซี่ถือเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่วิวัฒนาการตัวเองให้อยู่ในระดับสุดยอดได้ตลอด จากจอมเลี้ยงสู่จอมทัพที่สามารถบงการเกมได้ตามใจสั่ง และแม้อายุจะเข้าหลักสาม เมสซี่ยังผสมผสานทักษะการคุมเกม, เลี้ยงบอล และทำประตูให้อยู่ในคนเดียวกันได้อย่างไร้ที่ติ แบบที่ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ เคยกล่าวว่า เหมือนมีนักเตะ 3 คนอยู่ในตัวเมสซี่คนเดียว คุณจะไปเถียงกับคนอื่นก็ได้ว่าหนึ่งในยอดดาวยิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกผู้นี้ก็เป็นสุดยอดจอมส่ง เพราะหลักฐานมันก็มีให้เห็นมากมายอยู่แล้ว
ทศวรรษของเมสซี่
เราอาจจะสรุปได้ว่าทศวรรษที่ผ่านมาคือยุคของบาร์ซ่าที่มีเมสซี่เป็นพระเอก กุนซือคนแล้วคนเล่าเข้ามาและจากไป แต่เมสซี่นั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก 4 จาก 5 ครั้งของสโมสรมีเมสซี่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเสมอ ยอดเยี่ยมเสียจนกองถ้วยรางวัลที่เขาคว้ามาได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย
และเมสซี่ยังไม่หยุดแค่นี้ ฟุตบอลโลกปีหน้าถือเป็นอีกโอกาสสำคัญที่เจ้าตัวจะนำความสำเร็จที่รอคอยสู่อาร์เจนติน่าบ้านเกิด และเขาอาจยังไหวพอที่จะเล่นในปี 2022 แม้ขาจะไม่ว่องไวเหมือนแต่เก่า แต่สมองนั้นยังเฉียบแหลมเหมือนเดิม
นักวิจารณ์, แฟนบอล และนักเขียนพยายามหาถ้อยคำพิสดารเลิศหรูมาอธิบายความยิ่งใหญ่ของเมสซี่ แต่เชื่อเถอะ มันทำไม่ได้หรอก แม้แต่บทความที่คุณได้อ่านอยู่ตอนนี้ก็ยังทำไม่ไหว วิธีที่ดีที่สุดคือทำตามคำแนะนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่บอกว่า “อย่าเขียนถึงเขา อย่าพยายามอธิบายถึงเขา แค่ดูเขาเล่นก็พอ”
ไฮไลท์ในอาชีพ
หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเล่นลูกกลางอากาศ เมสซี่ก็หุบปากเหล่านักวิจารณ์ด้วยการเทคตัวขึ้นโหม่งบอลผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ นำ บาร์เซโลน่า ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศปี 2009 ถือเป็นหนึ่งในประตูสุดโปรดที่เขาเคยบอกกับทาง โฟร์โฟร์ทู เมื่อไม่นานนี้
อันดับ 1 ดิเอโก้ มาราโดน่า
พรสวรรค์ของเขาคืออาวุธที่ร้ายกาจในสังเวียนหญ้า แค่เขาคนเดียวก็เปลี่ยนให้ นาโปลี และ อาร์เจนติน่า กลายเป็นทีมที่ไร้เทียมทานได้
ความคลาสสิคของ ดิเอโก้ มาราโดน่า คือสิ่งที่ถูกตั้งอยู่ในสถานะตลอดกาลสำหรับวงการฟุตบอล เขาเหมือนกับอัลบั้มเพลงของ ไมเคิล เเจ็คสัน ที่กลายเป็นอมตะอันดับ 1 ตลอดกาลไม่ว่าจะมีการจัดอันดับในปีไหนก็ตาม
ที่มันเหมือนกันก็เพราะพวกเขาทั้งคู่มีลายเซ็นเป็นของตัวเองเพียงแค่อินโทรขึ้นคุณก็จะรู้ว่าเพลงนี้เป็นของ ไมเคิล และเมื่อบอลอยู่กับเท้าหมายเลข 10 ของอาร์เจนติน่า คุณก็รู้ได้ทันทีเช่นกันว่า มาราโดน่า จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง
เปเล่ อาจจะยิงประตูได้มากกว่า ลิโอเนล เมสซี่ คือยอดนักเตะที่กวาดรางวัลมามากกว่า แต่ทั้งสองคนที่กล่าวมาล้วนมีชีวิตที่ดูจะมั่นคงกว่าชายผู้ติดโคเคนขนาดหนักและน้ำหนักตัวก็อ้วนฉุแถมยังมีข่าวฉาวเกี่ยวกับตัวเขาเสมอๆ คุณอาจสงสัยว่าในเมื่อเป็นถึงขนาดนี้แล้วทำไม มาราโดน่า ยังคงเป็นอันดับ 1 ตลอดกาล...ไว้คุณเห็นบอลอยู่กับเท้าของเขาคุณจะเข้าใจมันเอง
จากสลัม...สู่สตาร์
การเตะบอลริมถนนบริเวณ วิลล่า ฟลอริโต้ ชุมชนแออัดของอาร์เจนติน่า ทำให้เขาได้รับความสนใจจาก ฟราซิสโก้ คอร์เนโฮ โค้ชทีมเยาวชนของ ลอส เซโบลิตัส
"แกอายุเท่าไหร่ไอ้หนู?" คอร์เนโฮ หล่นคำถามแรกใส่เด็กน้อยคนนั้น
"แปดขวบ" เขาตอบกลับทันที ... คาร์เนโฮ ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กที่โชว์ลีลาต่อหน้าเขาอายุแค่ 8 ขวบ และใครจะรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้นี่เองที่พาทัพนักเตะอาร์เจนติน่าเดินเรียงแถวขึ้นไปรับถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก
เขาอยู่กับ ลอส เซโบลิตัส และโดดเด่นเกินใครเพื่อน จากนั้นก็ถูกส่งไปอยู่กับสโมสรแม่อย่าง อาร์เจนติโนส จูเนียร์ ชุดใหญ่ในช่วงก่อนวันเกิดครบรอบ 16 ปีของเขาเพียง 10 วันเท่านั้น
ฮวน คาร์ลอส มอนเตส ให้เด็กน้อยวัยย่าง 16 ปีนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองก่อนในครั้งแรกหลังจากนั้นเขาจึงเลือกส่ง มาราโดน่า ลงสนามเเละกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอาร์เจนไตน์ที่ได้ลงเล่นในเกมลีกสูงสุด "ลองไปทำสิ่งที่เเกทำได้เป็นประจำซะไอ้หนู ถ้าเป็นไปได้ก็แตะลอดขาไอ้พวกนั้นให้อายม้วนไปเลย"
ชื่อเสียงของ มาราโดน่า ค่อยๆโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ "เขาเป็นเด็กอ้วนที่เล่นฟุตบอลได้เป็นเก่งกาจจริงๆ" ฮูโก้ กัตติ นายทวารของ โบค่า จูเนียร์ ก่อนที่เกมการเเข่งขันในเดือน ตุลาคม ปี 1980 จะมาถึง "ผมได้รับบอล 4 สื่ครั้งจากการผ่านบอลของเขา" มาราโดน่า กล่าวหลังจากที่ อาร์เจนติโนส เอาชนะคู่แข่งไป 5-2 และในเกมนั้น มาราโดน่า ยิงประตูได้จาก 1 จุดโทษ การกระชากหลุดเข้าไปดวล 1 ต่อ 1 กับประตู ก่อนที่จะตบท้ายด้วยการยิงฟรีคิกสุดสวยอีก 2 ลูก
จากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่กับ โบคา จูเนียร์ และเริ่มคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ ความประทับใจที่ มาราโดน่า ฝากฝังไว้ทำให้เขาถูก บาร์เซโลน่า ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ในปี 1982 และที่ คาตาลัน เป็นครั้งแรกที่ มาราโดน่า ได้ทดลองใช้โคเคนในช่วงที่เขาต้องพักจากการบาดเจ็บข้อเท้าหักในการปะทะกับ อันโดนี่ กอยโคเอ็ตเซีย กองหลังของ แอธเลติก บิลเบา ในเดือนกันยายนปี 1983
แต่ขึ้นชื่อว่า มาราโดน่า แน่นอนว่าเขาจำมันฝังใจและหาทางเอาคืนจากการเตะติดดาบครั้งนั้นจนได้ ...ในนัดชิง โคปา เดล เรย์ ปี 1984 เขาเฮดบัต(เอาหัวกระเเทก) นักเตะคนหนึ่ง ก่อนที่จะไม่หยุดแค่นั้นเขาเพิ่มเติมการฟันศอกเข้าไปอีก 1 ครั้งและแทงเข่าไปอีก 1 ที ซึ่งจากพฤติกรรมครั้งนี้ทำให้เขาถูกขายให้กับ นาโปลี ไปอย่างรวดเร็วเพื่อการแก้ปัญหาโดยง่ายที่สุด
จากตัวปัญหาที่ต้องถูกกำจัดเขาแปรสภาพกลายเป็นตำนานของยอดทีมจากเนเปิลส์ตลอด 7 ฤดูกาลที่อยู่กับ นาโปลี มีการสร้างโบสถ์และตั้งชื่อว่า ดิเอโก้ มาราโดน่า .... ก่อนหน้านั้น นาโปลี ไม่เคยเข้าใกล้การคว้าแชมป์ลีกเลยจนกระทั่ง มาราโดนน่า เข้ามาและฟอร์มการเล่นส่วนตัวของเขาบันดาลให้ความสำเร็จเกิดขึ้น เเชมป์สกูเด็ตโต้ ปี 1987 กับ 1990 และแชมป์ ยูฟ่า คัพ ปี 1989 ทำให้เขาได้ฉายาว่า "เอล พิเบ้ เดอ โอโร่" หรือ "เจ้าหนูแข้งทอง" และก็อย่างที่พวกคุณรู้กันคือเขากลายเป็นตำนานในท้ายที่สุด
เสียงของเพลง Live Is Life ของศิลปินป๊อปร็อคชาวออสเตรีย ดังขึ้นในงานแต่งงานพร้อม มาราโดน่า ที่มาในภาพลักษณ์ชุดสูทที่ดูไม่ค่อยเข้ากับเขาสักเท่าไรนัก เขาเต้นรำสนุกสนานเหมือนกับเด็ก 5 ขวบ นี่คือชีวิตที่ยอดเยี่ยมของ มาราโดน่า ไม่ว่าจะในสมรภูมิชีวิตหรือสมรภูมิลูกหนัง
คุณไม่มีวันรู้แน่ว่าคู่สมรสของเขาที่มีนามว่า เคลาเดีย กำลังจะมาพลิกโฉมหน้าชีวิตของเขาไปตลอดกาล มาราโดน่า มีเรื่องเชื่อมโยงกับปัญหาอาชญากรรมในครอบครัว จูเลียโน่
หลังจากนั้นไม่นานทีมชาติ อาร์เจนติน่า ก็คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1986 ได้สำเร็จแน่นอน ฮอร์เก้ บัลดาโน่,ฮอร์เก้ บูร์รูชาก้า และ ออสการ์ รุกเกอรี่ เป็นนักเตะที่ดี แต่มันก็เหมือนกับที่ นาโปลี นั่นแหละหากไร้ซึ่งกัปตันทีมหมายเลข 10 ผู้ร่ายเวทย์มนต์ในทุกๆเกมและซักไปถึง 5 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์
"วิเวซ่า คริโอลล่า"ภาษาสเปนที่มีความหมายว่า "ฉลาดเเกมโกง" คือสิ่งที่ มาราโดน่า ดึงออกมาใช้ในลูก "หัตถ์พระเจ้า" แม้สิ่งนี้จะทำให้เขาโดนก่นด่าว่าสมควรที่จะลบๆทิ้งไปเสียดีกว่า แต่มันเกิดจากความเฉียบเเหลมของเขา มาราโดน่า ตระโกนใส่เพื่อนๆของเขาหลังจากเอามือตบบอลเข้าประตูว่า "มาเร็ว วิ่งเข้ามากอดและเเสดงความดีใจกับฉันก่อนที่กรรมการจะบอกว่าลูกนี้ไม่เป็นประตู" มันผิดกติกาก็จริงแต่การเอาชนะอังกฤษและเข้ารอบนั้นสำคัญมากกว่า
มันยังมีเรืองให้พูดถึงยิ่งกว่านั้นอีก เทอร์รี่ บุตเชอร์ เจอ มาราโดน่า ลากผ่านไป 2 ครั้งในหนเดียว … 4 นักเตะอังกฤษจะโดน มาราโดน่า เล่นงาน ปีเตอร์ เบียดส์ลี่ย์ ปีเตอร์ รีด เทอร์รี่ บุตเชอร์ และ เทอร์รี่ เฟนวิค สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือเขายิงสุดยอดประตูในตำนานที่ทำให้ ปีเตอร์ ชิลตัน ต้องหมดสภาพโอดโอยจากลูกยิงของ มาราโดน่า
"ผมรู้สึกอยากจะปรบมือให้เขาในวินาทีนั้นเลยด้วยซ้ำ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน" แกรี่ ลินิเกอร์ นักเตะอังกฤษทีได้ลงสนามในเกมนั้นกล่าว "มันคือประตูที่สวยสดงดงามจนแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เขาคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เขาคืออัจฉริยะที่มาในรูปแบบปรากฎการณ์ของโลกมนุษย์"
เขาคือต้นแบบของนักเตะในสไตล์ แอนติ-ฮีโร่ อย่างแท้จริง ยิ่งมีการถกเถียงถึงความเป็นตำนานของเขามากเท่าไหร่ชีวิตค้าแข้งของเขาก็ยิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นเท่านั้น ในปี 1991 เขาได้เล่นเกมกระชับมิตรที่ถูกจัดขึ้นโดย ปาโบล เอสโคบาร์ ภายใต้กำเเพงคุกของราชายาเสพติด "หลังจากเย็นวันนั้นเรามีปาร์ตี้กันขนานใหญ่เลยล่ะ มีทั้งสาวสวยที่แจ่มที่สุดในโลกที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และคุณเชื่อไหมล่ะทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นในคุกล่ะ"
ตอนจบ
หลังจากประสบความสำเร็จระดับมหาศาล มาราโดน่า ย้ายไปอยู่กับ เซบีญ่า,โอลด์ บอยส์ และ โบค่า จูเนียร์ ก่อนที่เขาจะไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้นในฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา แม้เขาจะอ้างว่าการใช้ยาของเขาเกิดขึ้นเพื่อต้องการลดน้ำหนักเพื่อให้สามารถลงเล่นในฟุตบอลโลกได้ก็ตาม
มาราโดน่า สู้บนเส้นทางลูกหนังด้วยความเกรี้ยวกราดเหมือนกับ เช กูวาร่า วีรบุรุษนักปฎิวัติชาวคิวบา ที่ล้มล้างระบบด้วยความเชื่อและวิธีการแนวกองโจร หลังจากนั้น 32 ปีต่อมาจากในพื้นที่ห่างไกลแม่น้ำ พาราน่า โรซาริโอ 310 กิโลเมตร ที่สลัมในกรุงบัวโนสไอเรส มาราโดน่า ก็ถือกำเนิดขึ้นเเละดำเนินตามเส้นเรื่องคล้ายๆกันเพียงแต่เขาใช้ 2 เท้าของเขาสร้างตำนาน ความเหมือนในความเเตกต่างครั้งนี้จึงไม่แปลกนักที่ทำให้ มาราโดน่า บริจากเงินสมทบให้กับประเทศคิวบาจากยอดขายหนังสือัตชีวะประวัติของเขาในปี 2002 โดยระบุถึงความตั้งใจไว่า "แต่ชาวคิวบาและฟรีเดล(คาสโคร)"
ลิโอเนล เมสซี่ เคยพูดถึง มาราโดน่า ไว้ย่างน่าสนใจ "ถึงแม้ผมจะเล่นฟุตบอลไปอีก 1 ล้านปีแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมใกล้เคียงรัสมี มาราโดน่า เลย...เขายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้มีและมันจะเป็นความยิ่งใหญ่ในระดับตลอดกาล"
ไฮไลต์การค้าแข้ง
ประตูในฟุตบอลโ,ก 1986 คือจุดรุ่งเรื่องที่สุดของเขา มันใช่เรืองที่จะเห็นมนุษย์ทำได้บ่อยๆ
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ https://www.fourfourtwo.com